วิธีเปลี่ยนความสูญเสีย แล้วผลักดันให้เป็นพลังสร้างชาติ

พวกเราทุกคนต่างรู้สึกเจ็บปวดจากความสูญเสียนั้น แล้วอยู่ๆ ก็เกิดคำถามว่าทำไมเราไม่เปลี่ยนความเศร้าโศกให้เป็นแรงผลักดันและนำพลังแห่งความรักมาเกิดประโยชน์ต่อชาติและแผ่นดินต่อไป และนี่คือ วิธีเปลี่ยนความสูญเสีย แล้วผลักดันให้เป็นพลังสร้างชาติ

1 ปลดปล่อยความอ่อนแอ แล้วโอบกอดตัวเองและคนรอบข้าง

แล้วลุกขึ้นอย่างเข้มแข็ง ไม่ผิดถ้าคุณร้องไห้ฟูมฟายและไม่ผิดที่คุณเงียบ เพราะเราแสดงออกกันต่างไป แต่ระหว่างที่นั้นคุณต้องบอกตัวเองว่าฉันจะเข้มแข็งและดูแลประเทศนี้ด้วยมือเล็กๆ ของฉันและจะทำให้ดีที่สุดเหมือนมีพ่อยืนอยู่ข้างๆ เสมอ ท่านเคยบอกว่า ระยะทางพันกิโลเมตร แน่นอนมันต้องมีบ้างที่ไม่ราบรื่น และครั้งนี้เป็นแค่บททดสอบของชีวิต เราอยู่ในรุ่นเปลี่ยนผ่าน ถ้ารุ่นเราไม่แข็งแรงพอ ไม่มั่นคง สติแตก แล้วรุ่นหลังจะหลงทางแค่ไหน ดังนั้นอย่ามัวแต่อ่อนแอ เพราะไร้ที่ยึดเหนี่ยว บางทีก็ถึงเวลาที่เราต้องกอบกู้ตัวเองด้วยตัวเอง

2 เมตตาคนรอบตัวให้มากกว่าเดิม และเพิ่มให้มากขึ้นทุกวัน

เราไม่เคยเห็นพ่อของเราว่าใครเวลาที่มีคนพูดกับพระองค์ผิดๆ ถูกๆ ใช่ไหมคะ ท่านอมยิ้มแบบเอ็นดูด้วยซ้ำเพราะท่านมองเห็นถึงหัวใจของคนเหล่านั้น แล้วพวกเราเป็นใครกันถึงค่อยนั่งแต่จับผิดคนอื่น ความหวังดีกับการว่าร้ายมันมีเส้นบางๆ  นิดเดียว ทำไมเราไม่เลือกส่งความรักอย่างที่ท่านทำเป็นตัวอย่างให้พวกเราดูมาตลอดชีวิต มองเห็นหัวใจที่แสนภักดีของเพื่อนร่วมชาติ อย่างอิ่มเอมหัวใจ เห็นข้อดีๆ ที่เกิดในเรื่องที่โศกเศร้า แทนมองเห็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ

3 อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ

ท่านเคยสอนว่าจงเป็นน้ำครึ่งแก้ว ที่เติมเท่าไหร่ก็ได้ และยังเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้เสมอ ดังนั้นอย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิต ระวังชีวิต และมีวินัยเสมอ สิ่งที่ควบคุมได้ที่สุดคือตัวเรา ดังนั้นควรจะเรียนรู้เพื่อให้ช่องว่างระหว่างความไม่มั่นคงในอนาคตกับตัวคุณแคบลง เรียนรู้สิ่งต่างๆให้มากขึ้นอ่านหนังสือให้บ่อยขึ้น อย่างที่พ่อเคยสอน อ่านหนังสือนะ อ่านเพื่อเข้าใจ เพื่อให้รู้มากขึ้น เพื่อให้มีความสามารถมากขึ้น เมื่อเราเป็นคนเก่งและมีความสามารถ แล้วเราจะรู้สึกมั่นคง มั่นใจ ทั้งที่เหตการณ์นั้นก็ควบคุมไม่ได้เช่นกัน แต่เรารู้ว่าเราจะแก้ไขด้วยสติและปัญญาของเราได้เสมอ แล้วสิ่งยึดเหนี่ยวในใจก็จะกลายเป็นตัวของ จำได้ไหม ท่านเคยให้โอวาทว่าระเบียบวินัยคือคุณสมบัติในการดำเนินชีวิต ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป ถ้าเรามีวินัยกับชีวิตจะไม่เกิดปัญหา

4 อย่ากังวลกับอนาคต เลิกงมงายกับความเชื่อแบบเดิมๆ

เชื่อเหอะไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร วิธีเดียวที่จะทำให้คุณรู้คือ “เผชิญหน้า” กับอนาคต และถ้ามีปัญหา จงเอาสติกับปัญญามาช่วยเสมอ คุณเอาไปใช้ก็ได้ เลิกทำตัวเป็นลูกแหง่ ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปเราต้องหัดพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น เข้มแข็งให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาให้มากขึ้น แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ส่วนที่ยากที่สุดของการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนคือไม่สามารถที่จะวางแผนหรือควบคุมได้ ส่วนที่ง่ายที่สุดในการควบคุมอนาคต คือตัวเราเอง ฝึกสติและปัญญา พร้อมกับปฏิบัติดี เพราะถ้าคุณปฏิบัติดี คุณไม่ต้องมาแก้ไขในอนาคต

5  ขอบคุณและให้อภัย

พ่อหลวงเคยสอน การให้อภัย มีคุณค่านัก แล้วพวกเราทำไมยังชิงเกลียดชังกันมากขึ้น เปลี่ยนใหม่เถอะ ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้วยิ่งต้องรีบหันกลับไปบอกกันว่าเราควรจะให้อภัยกัน เราควรจะโอบกอดกัน มากกว่าตบตี ว่าเราควรจะปราณี มากกว่าข่มขี่ข่มเหง ยังไม่รู้อีกเหรอ ว่าถ้าอยากให้ชาติอื่นยำเกรง เราต้องเร่งสร้างความสามัคคี พ่อหลวงของเราปรานีมีแต่ความรัก แต่ทำไมผู้ภักดีต่อพระองค์จึงแสดงสิ่งน่าชัง เราควรรวมพลังแห่งความภักดี ส่งต่อเรื่องดีๆให้กัน ทำดีตามรอยพ่อคือรักกันให้มากพอ ในช่วงรอยต่อของชีวิต

6 “เพื่อนใหม่ คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า หรือ มิตร คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า”

คุณควรให้ให้เป็น นี่คือหนึ่งในพระบรมราโชวาทจากพ่อของเรา แต่ดิฉันกลับพบว่าคนไทยหลายฝ่ายกำลังทำตัวตรงกันข้าม บ้างก็ทำตัวเป็นศัตรูกับประเทศรอบข้าง ทั้งรอบเล็ก รอบใหญ่  มองชีวิตแบบเอาใจเขาไปใส่ใจเราบ้าง เลิกคิดว่าเราคือศูนย์กลางของโลกใบนี้ เลิกมองว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เลิกสร้างศัตรูแล้วประเทศเราจะเป็นคนสำคัญอย่างแท้จริง คนต่างชาติเขารักในหลวงของเราแค่ไหน ท่านเป็นที่รักเพราะท่านทำเพื่อคนอื่นมาตลอดต่างหาก ท่านเป็นที่รักเพราะท่านให้

7 เลิกติดสบายและอยากได้ชีวิตแบบง่ายเกินไป

เลิกทำตัวเป็นเด็กเตาะแตะได้หรือลูกแหง่ได้แล้ว ถ้าคุณอยากทำหรือมีชีวิตบนความง่ายๆ ชีวิตคุณจะยากลำบากแสนสาหัส แล้วคุณก็จะอ่อนแอ ไร้ความสามารถ บ่น จับผิดแต่คนอื่น ยอมแพ้ให้กับชีวิต แล้วคุณจะโทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจ โทษชีวิต ดิฉันไม่เคยเห็นคนที่ใช้ชีวิตบนความลำบาก สู้ชีวิต เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ปรับตัว ประสบปัญหาสักคน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่คุณต้องยอมลำบาก เรียนรู้ให้มากขึ้น เรียนรู้การใช้เวลาทำงานแบบฉลาด แล้วคุณจะใช้เวลาน้อย ถ้าบ้านอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ยอมเดินแทนขับรถ แล้วคุณจะได้เวลาเพิ่มเติมจากการเสียเวลาเพราะรถติด

8 ฟังให้มากขึ้น และตัดสินคนให้น้อยลง

คนเราสมัยนี้ดีแต่จะพูดเรื่องของตัวเองจนลืมฟังชีวิตคนอื่น การฟังช่วยให้คุณได้ไอเดียในการใช้ชีวิต และจัดการชีวิต (แน่หล่ะ ต้องเลือกคบคนดีๆ ถึงจะมีไอเดียดีๆ) แล้วฟังโดยไม่ตัดสินผู้คนที่มีชีวิตไม่เหมือนตัวเอง ฟังด้วยใจปราณี และเข้าใจผู้คน คุณจะโกรธคนที่เดินช้า ขวางทางคุณไหม ถ้าเขาเป็นคนแก่มากๆ แทบจะเดินไม่ไหว คุณจะโกรธคนที่เสียงดังไหม ถ้าคุณรู้ว่าเขาสติไม่ดี คุณจะโกรธคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อไว้ทุกข์ไหม ถ้าคุณรู้ว่าเงินก้อนสุดท้ายเขาใช้เพื่อซื้อข้าวเลี้ยงทั้งครอบครัว มองคนอย่างเข้าใจ อย่าหลงไปตามสื่อข้อความทางโซเชี่ยล

9 เก่งรอบด้านแบบพ่อหลวง

ท่านมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากับเรา แต่ท่านมีอัจฉริยภาพในหลายด้าน แต่หลังอ่านหนังสือมากมาย ความมหัศจรรย์ของคนเรามาจากมีใจที่มุ่งมั่น ฝึกฝนต่างหาก ดังนั้นเราเป็นลูก เราก็ควรจะฝึกฝนสิ่งที่ไม่รู้ด้วยความอุตสาหะ และเลิกใช้เวลากับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เมื่อคุณทำได้คุณจะรู้สึกมั่นคงและมั่นใจในการใช้ชีวิต

เชื่อเถอะ จากนี้ไปตัวของเราจะกลายเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของเราเอง และเราอีกนั่นแหล่ะที่จะนำพาความเข้มแข็งมาให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างดี และถ้าเราทุกคนทำได้ ประเทศก็เข้มแข็งและเป็นสุข

เครดิตภาพ : Pakorn Bank Lakboon

Share this Post

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.