Interview OK Magazine’s column AT HOME

LOVE-LIFE BALANCE

เปิดพื้นที่ส่วนตัวของนักเขียนด้านความสัมพันธ์
ปู-กมลชนก ปานใจ พร้อมเผยถึงงานเขียนเล่มใหม่ล่าสุด
และเคล็ดลับที่ทำให้เธอยังเป็นผู้หญิงอายุ 20 อยู่เสมอ

9 ปีที่แล้ว OK! มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านหลังใหญ่ที่พัทยาของอดีตนางแบบสาวผู้เฟดตัวเองออกจากวงการบันเทิงเพื่อไปใช้ชีวิตและทำธุรกิจร่วมกับสามี โดยเขียนผลงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์เป็นงานอดิเรก คุณปู-กมลชนก ปานใจ ในวันนั้นดูร่าเริงสดใส เธอเล่าเรื่องชีวิตคู่ด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข

วันนี้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งบนคอนโดส่วนตัวของเธอ ณ ใจกลางของกรุงเทพฯ คุณปูเล่าว่าซื้อคอนโดห้องนี้หลังจากที่คุยกับเราครั้งที่แล้วได้ไม่นาน มันเกิดขึ้นจากความบังเอิญเมื่อเธอยูเทิร์นรถผิดแล้วเกิดสะดุดตากับที่นี่ “พอมาเจอที่นี่เราก็เซอร์ไพรส์ รู้สึกว่านี่เป็นห้องสำหรับเราเลยนะ ก็เลยถามเขาว่าถ้ามีแมวสอง 2 ตัวมาอยู่ด้วยจะได้ไหม ขอราคาประมาณนี้ ลดได้ไหม ถ้าได้ก็จะซื้อเลย พอเขาตกลง ปูก็มัดจำด้วยบัตรเครดิตทันที ซึ่งเซลล์ยังบอกกปูเลยว่า ปูเป็นคนที่ซื้อบ้านเร็วที่สุดในโลก (หัวเราะ)”

ถ้าเทียบสไตล์และพื้นที่ของที่นี่กับบ้านที่พัทยาแล้วมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะบ้านที่พัทยาเต็มไปด้วยสีสันกลิ่นอายสไตล์โมรอคโค บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ในขณะที่คอนโดห้องนี้มีขนาดเพียง 250 ตารางเมตรและใช้โทนสีเข้มเป็นหลัก สิ่งเดียวที่คล้ายกันก็คือความเป็นบาหลีที่มีอยู่ในทุกมุมของห้อง “พออายุมากขึ้นกลับพบว่า เราต้องการอะไรน้อยลง เลยเป็นที่มาของสไตล์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งอีกอย่างที่ไม่เหมือนบ้านหลังเดิมก็คือตู้เสื้อผ้า ห้องรองเท้า เพราะเมื่อก่อนมันใหญ่เท่ากับห้องนอนหนึ่งห้อง แต่ตอนนี้ห้องเสื้อผ้าเล็กลงเท่ากับขนาดห้องน้ำเลย (หัวเราะ) เราซื้อเท่าที่จำเป็นจริงๆ แล้วค่ะ”

ปู-กมลชนก ปานใจ ในวันนี้เธอยังสดใส ร่าเริงตามคอนเซ็ปต์ 20 forever เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการตกผลึกทางความคิด รู้จักปล่อยวางต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว กลั่นออกมาเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค 2 เล่มล่าสุด ‘จงเห็นแก่ตัว’ หนังสือ Best seller ถึงสามเดือน และ ‘ปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ’ ที่ถึงแม้เธอจะยังคงเล่าเรื่องความสัมพันธ์ตามแนวถนัด แต่กลับมีมุมมองของคนที่เข้าใจโลกใบมากขึ้น ครั้งนี้ OK! มีโอกาสสำรวจที่พักแห่งใหม่ และสำรวจหัวใจของผู้หญิงที่สาวเสมอคนนี้ ว่าเธอมีวิธีจัดสมดุลความคิดและชีวิตอย่างไร ที่ขาดไม่ได้คือเทคนิกการดูแลตัวเองให้สวยสมวัย ในแบบปู-กมลชนก ปานใจด้วยค่ะ

ตอนนี้ดูเหมือนคุณปูจะเปลี่ยนจากสาวแม็กซิมัมมาเป็นสาวมินิมอลไปแล้ว
เล่าให้ฟังได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น

เกิดจากการไปเที่ยวเนปาลเมื่อหลายปีก่อนค่ะ ปูไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ใช้ชีวิตสมถะมาก ต้องประหยัดทั้งการใช้น้ำ ไฟ เวลาล้างหน้าก็จะล้างในอ่างเล็กๆ หนึ่งใบ พอตกเย็นก็กินข้าวใต้แสงเทียน แล้วก็เข้านอนเลย ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตใดๆ รู้สึกว่าวิถีชีวิตง่ายๆ แบบนี้ทำให้เราแฮปปี้นะ กลับมาก็เลยเอาของที่ไม่จำเป็นไปบริจาค ทำแล้วชีวิตตัวเองก็เบาและง่ายขึ้นมากค่ะ

ช่วงนี้ปูใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในคอนโดหลังนี้เป็นส่วนใหญ่ ปูจะทำงานที่นี่เป็นหลัก เราสามารถจัดการได้ทุกเรื่องโดยที่ไม่ต้องออกไปไหนเลย อยากได้อะไรก็โทรสั่ง เมื่อยก็เรียกคนมานวด ว่างๆ ก็นัดเจอเพื่อมาที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยออกไปไหน

ตอนนี้คุณมีพ็อคเก็ตบุ๊ค 2 เล่ม เปลี่ยนแนวจากความสัมพันธ์กับคนรอบตัวเป็นความสัมพันธ์กับตัวเอง เป็นแนวปรัชญาชีวิต เพราะอะไรถึงขอบเขียนเรื่องแนวนี้

ปูว่าเรื่องความสัมพันธ์เป็นศูนย์กลางในทุกเสต็ปท์ของชีวิตค่ะ ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ตัวไม่เวิร์กจะกระทบไปถึงสุขภาพ การงาน และอนาคตของเรา ถ้าศูนย์กลางไม่แน่น ทุกอย่างล้มหมดเลย ที่สำคัญถ้าความสัมพันธ์กับตัวเองไม่มั่นคง ยิ่งทำให้ทุกความสัมพันธ์แย่ นั่นคือสาเหตุที่ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักจะมีคนเบื้องหลังคอยสนับสนุนเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี คนที่สร้างบริษัทดังๆ เก่งๆ ส่วนใหญ่จะมีภรรยาหรือสามีที่คอยส่งเสริม แปลว่าความสัมพันธ์ที่ดีคือสิ่งที่ดีที่สุด

จุดเริ่มต้นที่สนใจเขียนหนังสือแนวนี้ เกิดจากว่าเวลาเราพูดอะไร ทุกคนบอกว่าทำไมไม่เขียนหนังสือ จึงเขียนเรื่องความสัมพันธ์ หลังจากนั้นพอเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ก็เลยเปลี่ยนไปเขียนหนังสือเรื่องสุขภาพ ชื่อ ‘Fit and Firm ใน 21 วัน’ และเพราะเป็นคนชอบอ่านและช่างสังเกตเลยมักชอบให้คำแนะนำคนใกล้ตัว หรือคนตามเพจ จนหลายคนให้ฟีดแบ๊คกลับว่าสิ่งที่ปูคิดและแนะนำเขา ทำให้เขาหลุดจากความทุกข์ได้ บางคนก็มีความสุขขึ้น นี่คือแรงบันดาลใจให้เขียนหนังสือ 2 เล่มนี้ขึ้นมา คือจงเห็นแก่ตัว และปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ ซึ่งทั้ง 2 เล่มนี้จะเล่าถึงมุมมองความคิดตามธรรมชาติที่เปลี่ยนชีวิตของคุณได้ง่ายๆ โดยที่คุณยังใช้ชีวิตปกติ รวมถึงแนวคิดเพื่อให้ก้าวต่อไปได้ งานที่ปูเขียนไม่ได้พูดถึงหลักธรรมแต่พูดถึงการใช้ชีวิตแบบที่ปูได้รับประสบการณ์มา หรือเป็นวิธีคิดของเรา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เราเองก็รู้สึกดีที่หลายคนนำเรื่องนี้ไปปรับใช้กับตัวเอง

ในเมื่อคุณเขียนหนังสือเรื่องความสัมพันธ์ แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับสามีล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไร

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เรามีทั้งความเป็นเพื่อน ความเข้าใจในกันและกัน ก่อนหน้านั้นเรามีปัญหาคือสามีทำงานเยอะ จนแทบไม่ได้คุยกัน ทั้งๆ ที่เขาก็ทำงานอยู่ในบ้าน แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนเราอยู่คนเดียว เริ่มจิตตก แล้วพอคิดอย่างนี้ทุกวัน ก็เริ่มฟุ้งซ่าน จากนั้นก็ป่วย ตัวชา มือชา ไปไหนไม่ไหว จะโทรหารถพยาบาลก็โทรไม่ได้ พูดไม่ออก ก็รู้สึกว่ามันแย่มากแล้ว จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มออกไปเปิดหูเปิดตา มันทำให้ปูได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนอีกมากมาย ก็เริ่มกลับมามองตัวเองว่า สิ่งที่เรามีมันดีมากเลยนะ พอสบายใจขึ้น ปูก็ค่อยๆ มองหาวิธีแก้ปัญหานี้ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่พบก็คือเราเอาชีวิตไปแขวนไว้กับเขามากเกินไป เราขาดการมีชีวิตของตัวเอง เลยไปคุยกับสามีว่าขอมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไหม เขา OK! ถ้าปูอยากกลับไปเมื่อไรก็กลับ อยากได้ที่ไหนก็ลองดู ถ้าชอบก็ซื้อแล้วกัน เขาอยากให้ปูสบายใจ

แล้วพอมามาใช้ชีวิตที่กรุงเทพกลายเป็นว่าปูนิสัยดีขึ้น คุยกับเขามากขึ้น หลังจากที่ไม่ค่อยได้คุยกันอย่างนี้มาหลายปีมาก สาเหตุคือที่ผ่านมาเราไม่สบายใจกับตัวเอง เราวิตกว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่กับเราหรือเสียชีวิตไป เราจะทำอย่างไร การได้มาใช้ชีวิตของตัวเอง มันทำให้เรามั่นใจขึ้น ตอนที่อยู่กับสามี จะเปิดไฟยังไม่รู้เลยว่าสวิตซ์อยู่ตรงไหน ทุกอย่างแม่บ้านจะรู้ดีกว่า แต่พอมาอยู่ที่นี่ เราทำทุกอย่างเองหมด เพื่อนๆ หลายคนก็กลัวว่าปูจะเหงา แต่เปล่าเลย ปูกลับมีความสุข ยิ้มและหัวเราะได้ง่ายกว่าเดิม เพราะมีความสุขที่ได้คอนโทรลชีวิตตัวเอง

หลายคนบอกว่าแต่งงานแล้วมีลูกสิ จะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

เรื่องลูกคงไม่ใช่คำตอบเดียวนะคะ ปูว่ามันอยู่ที่ตัวเราด้วย ในขณะที่หลายครอบครัวมองว่า ลูกอาจจะเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่บางครอบครัวอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ซึ่งสำหรับปู ปูรู้ตัวว่าถ้ามีลูก เราก็คงเอาเวลาไปอยู่กับลูกและไม่สนใจสามีแน่นอน อีกอย่างการที่ได้ใช้ชีวิตมาในระดับหนึ่ง ทำให้รู้แล้วว่าเราต้องการอิสระในชีวิตสูงมาก พอได้คำตอบนี้กับตัวเองแล้ว ก็จะรู้ว่าการมีลูกคงไม่ใช่คำตอบที่เหมาะกับชีวิตเราค่ะ

นอกจากเขียนหนังสือ กิจกรรมที่คุณทำในคอนโดห้องนี้บ่อยที่สุดคืออะไรคะ

อ่านหนังสือค่ะ เพราะอยู่ที่นี่ปูมีเวลาอ่านหนังสือเยอะมาก ทุกเย็นก็จะดูสารคดี ดูเรื่องที่จะมอบความรู้ให้เรา สมมติช่วงนี้รู้สึกว่าเราพูดไม่เก่ง ก็จะไปหาดูพวกวิธีการพูด ดูแบบนั้นทุกวันจนรู้เรื่อง ปูใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เหมือนเราเติมความรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ พอถึงระดับหนึ่ง ปูรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจัดการได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลากลับไปเจอสามี เราเลยกลายเป็นผู้หญิงที่แฮปปี้ เป็นผู้หญิงที่เต็ม มันไม่แหว่งวิ่นเหมือนเมื่อก่อน แล้วไม่ว่าเขาจะแย่แค่ไหน จะแสดงกิริยาไม่ดีกับเราอย่างไร เราก็จะชิลล์กับสิ่งที่เขาพูด เขาทำ บางทีเรายังแหย่เขากลับไปให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเลย

นอกจากความสมดุลทางด้านจิตใจแล้ว ทางด้านร่างกายล่ะคุณปูมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรเพราะช่วงนี้ก็ดูสดใสขึ้นด้วย

ก่อนหน้านี้เห็นว่าตัวเองแก่มาก รู้สึกว่าฉันไม่อยากเห็นผู้หญิงคนนี้ คำขวัญของเราที่ใช้มาตลอดคือ 20 forever นะเราจะเป็นอย่างนี้จริงๆ เหรอ ก็เลยพยายามศึกษา อ่านหนังสือเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ไปเรียนเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย แล้วก็เลยได้รู้มากขึ้นจริงๆ อย่างเช่น กินอาหารดีๆ เลือกอาหารที่เป็นธรรมชาติที่สุด ผ่านขั้นตอนน้อยที่สุด อยู่กับคนที่คิดบวก นอกจากนี้ก็หันมาออกกำลังกายแค่ครึ่งชั่วโมงหรือ 40 นาทีทุกวัน แล้วหัดนอนให้เร็ว คือสมัยก่อนปูชอบคิดว่าทำงานกลางคืนแล้วเวิร์ก จริงๆ ไม่ใช่เลย คือเวิร์กตอนที่คุณทำงานจริง แต่เช้าวันต่อมาคุณจะเสียทุกอย่าง คือใช้วันถัดมาอย่างไม่สดใส เพราะฉะนั้นถ้าคุณนอน 3-4 ทุ่ม เดี๋ยวตี 4-5 คุณตื่นขึ้นมาก็ทำงานที่อยากทำเมื่อคืนต่อได้แล้ว แถมสมองยังแล่นกว่าด้วยเพราะมีสมาธิกว่า ขาดไม่ได้อีกเรื่องคือดื่มน้ำเยอะๆ ดื่มชั่วโมงละ 1 แก้ว พอสัก 5 โมงเย็น มันก็ได้พอดีกับที่ร่างกายต้องการ คือได้รับน้ำ 2 ลิตรพอดี เราเองก็จะรู้สึกว่าเลือดไม่หนืด ไม่ปวดหลัง ไม่ปวดไหล่ ไม่ปวดไหล่ ไม่เป็นไมเกรน เพราะเลือดคุณได้หมุนเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย พอเสาร์-อาทิตย์ก็ต้มน้ำที่มีรสชาตินิดหนึ่ง เช่นน้ำมะตูม น้ำขิง เป็นวิธีหลอกล่อตัวเองเพื่อให้กินน้ำได้เยอะ พอทำแบบนี้ได้คุณภาพชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นค่ะ

สุดท้ายนี้มีอะไรจะฝากไหมคะ นอกจากหนังสือ 2 เล่มล่าสุด ‘จงเห็นแก่ตัว’ และ ‘ปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ’

การใช้ชีวิตไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่ต้องเป็นตามกรอบที่ใครกำหนด เราสุขตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นให้นาน ทุกข์ตรงไหนก็ย้ายออกมา ไม่มีคนรักที่ถาวรหรือศัตรูตลอดกาล คนที่ใช่ของเราตอนนี้ อาจเคยไม่ใช่กับเราเมื่อก่อน และจำไว้เสมอว่าไม่มีใครจะอยู่กับเราตลอดไป แม้แต่เราเองก็ดำเนินชีวิตต่างไปจากที่เคยเป็น เลิกเป็นเจ้าของใคร เลิกยอมให้ใครเป็นเจ้าชีวิต รักตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด เมื่อมีอะไรมากระทบชีวิต ปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อให้เร็ว

การใช้ชีวิตไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่ต้องเป็นตามกรอบที่ใครกำหนด

เราสุขตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นให้นาน ทุกข์ตรงไหนก็ย้ายออกมา

จงเห็นแก่ตัว
ปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ

หนังสือ “ปล่อยไป แล้วใช้ชีวิตต่อ” .. วางแผงแล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ.. ร้านซีเอ็ด ร้านบีทูเอส ร้านนายอินทร์และร้านคิโนะคุนิยะ สามารถหาซื้อได้แล้วที่สาขาใกล้บ้านคุณ หรือสั่งซื้อกับทางเราได้ง่ายๆ ที่นี่

ปกติหนังสือจงเห็นแก่ตัวและปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ มีขายทุกร้านหนังสือค่ะ

แต่เพื่อความสะดวกลองเช็คลิงค์นี้ของร้าน Se-ed นะคะ เพื่อดูว่าสาขาไหนใกล้คุณมี

ส่วนนายอินทร์ เช็คตามลิงค์นี้ค่ะ นอกจากนี้ ร้านคิโน๊ะคูนิยะ และบีทูเอส มีหนังสือจำนวนมากรอคุณหยิบกลับบ้านค่ะ