น้อมเกล้าฯ ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวายความอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า Kamonchanok และทีมงาน ..
เราจะมาร่วมน้อมรำลึกถึง ‘พ่อ’ ผ่านเรื่องราวแห่งความทรงจำ 9 ประวัติศาสตร์ชาติไทย กว่าผืนแผ่นดินจะกลายมาเป็นปึกแผ่นจนคนไทยนั่นอยู่ร่มเย็นเป็นสุขนั้น มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ที่เราชาวไทยจะต้องจดจำไปบอกเล่าให้ลูกหลานได้ยินได้ฟัง ว่าเราช่างโชคดีที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินของ ‘พ่อ’ ดังนี้
1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพในราชสกุล มหิดล อันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เสด็จพระราชสมภพที่สหรัฐอเมริกา เนื่องจากพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่นั่น
2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ พระชนมายุยังไม่เต็ม 19 พรรษา ไม่ทรงรู้พระองค์มาก่อนว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทย และขณะนั้นกำลังทรงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยโลซาน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
3. เถลิงถวัลยราชสมบัติ 9 มิถุนายน 2489
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์นานที่สุดในโลกที่มีพระชนมชีพอยู่ และยาวนานที่สุดในประเทศไทย
4. ในหลวงไม่ทิ้งประชาชน
เดิมทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ว่า จะทรงครองราชสมบัติเพียงชั่วระยะเวลาจัดงานพระบรมศพพระบรมเชษฐาให้สมเกียรติเท่านั้น แต่ความจงรักภักดีของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ที่มีต่อพระองค์อย่างแน่นแฟ้น ยังผลให้ตัดสินพระราชหฤทัยรับราชสมบัติ
ซึ่งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 เพื่อทรงศึกษาวิชาการเพิ่มเติม ระหว่างประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน” ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้”
5. การตัดสินพระทัยรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์
การตัดสินพระทัยรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ไม่เพียงแต่จะทำให้ประเทศไทยและคนไทยคลายความโศกเศร้าที่ต้องเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศไทยและคนไทยได้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ผู้ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะอุทิศทั้งพระวรกายและพระหฤทัย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย ในทันทีที่ทรงรับราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาจากวิชาวิทยาศาสตร์ไปเป็นวิชาสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ โดยที่ทรงเห็นว่าเป็นวิชาที่สำคัญและจำเป็นสำหรับตำแหน่งประมุขของประเทศ
6. พระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ประชาชน
ตลอดระยะเวลาที่ทรงอยู่ในฐานะพระมหากษัตยริย์ พระราชกรณียกิจทั้งปวงที่ทรงปฏิบัติมานั้น เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาคิดถึงแต่การที่จะบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ประชาชน คนไทยส่วนใหญ่เป็นกสิกร อาศัยดินและน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบอาชีพ เพราะฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษในเรื่องดินและน้ำ ยังทรงคิดค้นหาวิธีที่จะให้กสิกรได้ใช้ประโยชน์จากพื้นดินและแหล่งน้ำในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปสารทิศใดก็ตาม ทรงศึกษาทั้งสองเรื่องอย่างละเอียดลึกซึ้ง
7. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ครั้งแรก
เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระธิดาคนโตของพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ครั้งแรกที่กรุงปารีส เมื่อ พ.ศ.2490 ขณะนั้นพระบิดาทรงเป็นอัครราชทูตและครอบครัวได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเสมอ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ได้เกิดงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสจัดขึ้น ณ พระตำหนักใหม่วังสระปทุม วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระตำหนักชั้นบนพร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าตอนกลางคืนมีงานพระราชทานเลี้ยงเป็นการภายใน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในหมู่พระประยูรญาติและข้าราชบริพารใกล้ชิดไม่เกิน 20 คน นับเป็นงานฉลองพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสที่เล็กที่สุดงานหนึ่ง
8. เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ต่อมา วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตยริย์พระองค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเปล่งเสียงพระปฐมบรมราชโองการว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม หลังจากนั้น มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
9. พ่อของแผ่นดิน ทศพิธราชธรรม
ทศพิธราชธรรม หรือราชธรรม 10 เป็นธรรมสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน หรือคุณสมบัติของนักปกครองที่ดี สามารถปกครองแผ่นดินโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน มีด้วยกัน 10 ประการ คือ
- ทาน คือการให้ หมายถึงการสละทรัพย์ สิ่งของ เพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยและอ่อนแอกว่า
- ศีล คือการตั้งอยู่ในศีล หมายถึง มีความประพฤติดีงาม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั่วไป
- ปริจาคะ คือบริจาค หมายถึงการเสียสละความสุขสำราญของตนเพื่อประโยชน์สุขของหมู่คณะ
- อาชชวะ คือความซื่อตรง หมายถึง มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงใจ ไม่กลับกลอก
- มัททวะ คือความอ่อนโยน หมายถึง มีกิริยาสุภาพ มีสัมมาคารวะ วาจาอ่อนหวาน มีความนุ่มนวล ไม่เย่อหยิ่ง ไม่หยาบคาย
- ตบะ คือความเพียร หมายถึง การเพียรพยายามไม่ให้ความมัวเมาเข้าครอบงำจิตใจ ไม่ลุ่มหลงกับอบายมุขและสิ่งชั่วร้าย ไม่หมกมุ่นกับความสุขสำราญ
- อักโกธะ คือความไม่โกรธ หมายถึง มีจิตใจมั่นคง มีความสุขุม เยือกเย็น อดกลั้น ไม่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจให้ปรากฏ
- อวิหิงสา คือความไม่เบียดเบียน หมายถึง ไม่กดขี่ข่มเหง กลั่นแกล้งรังแกคนอื่น ไม่หลงในอำนาจ ทำอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินผู้อื่นตามอำเภอใจ
- ขันติ คือความอดทน หมายถึงการอดทนต่อสิ่งทั้งปวง สามารถอดทนต่องานหนัก ความยากลำบาก ทั้งอดทน อดกลั้นต่อคำติฉินนินทา
- อวิโรธนะ คือความเที่ยงธรรม หมายถึงไม่ประพฤติผิด ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความดีงาม ไม่หวั่นไหวในเรื่องดีเรื่องร้าย
ซึ่งคุณธรรมทั้ง 10 ข้อนี้ พระองค์ทรงยึดมั่นมาตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริ พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทในโอกาสต่างๆ ที่ทรงตักเตือน ให้สติ และเป็นคำสั่งสอนจำนวนมาก พระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรของพระองค์ ยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พสกนิกรชาวไทยที่ควรน้อมนำไปปฏิบัติ นักปกครองทั้งหลาย ยิ่งต้องศึกษาและสมควรที่จะดำเนินตามรอยพระยุคลบาท
ทั้งนี้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้พูดถึงการเป็นข้าราชการที่ดีและคนดี โดยประมวลไว้ในหนังสือ “หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท 10 ประการ” ดังนี้
- ทำงานอย่างผู้รู้จริงและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์
- มีความอดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมะและความถูกต้อง
- ความอ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่าย และประหยัด
- มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก
- รับฟังความเห็นของผู้อื่น และเคารพความคิดที่แตกต่าง
- มีความตั้งใจจริงและขยันหมั่นเพียร
- มีความสุจริต และความกตัญญู
- พึ่งตนเอง ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง
- รักประชาชน
- การเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน
ซึ่งหลักปฏิบัติ 10 ประการนี้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้บอกเล่าเกี่ยวกับพระราชจริยวัตร และหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงามในทุกด้าน พสกนิกรทุกสาขาอาชีพและทุกชนชั้น สมควรที่จะศึกษาและเรียนรู้เพื่อดำเนินตามรอยพระบาท เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี สังคมสงบสุข และประเทศชาติเจริญก้าวหน้า
Source: chicministry
ความรู้เพิ่มเติมเรื่องทศพิธราชธรรม: prachachat
Picture: สราวุธ อิสรานุวรรธน์
Share this Post