เมื่อฉันยังเป็นวัยรุ่น ฉันได้ดูประกวดนางงามจักรวาลและในช่วงเวลานั้นผู้ชนะการประกวดจะได้รถ Maserati เป็นหนึ่งในของรางวัล สาวแปลกอย่างฉันผู้ไม่ชอบเหมือนใคร .. ฉันบอกตัวเองว่า
“กมลชนก…สักวันนึงเธอจะมีรถยี่ห้อนี้”
เมื่อเวลาผ่านไปดิฉันแต่งงานกับผู้ชายในฝัน คนที่เป็นรักแรกพบของฉันและฉันเป็นรักแรกพบของเขา เราใช้เวลาไม่นานในการตกลงใจแต่งงานกัน ฉันคือทุกอย่างที่เขามีและเขาคือทุกอย่างของฉัน เขาคือครูผู้สอนชีวิตให้กับฉัน คนที่เชื่อมั่นในฉัน คนที่พร้อมให้โอกาสทุกอย่างให้ฉันทำตามความฝัน ชีวิตดั่งฝันที่ฉันมีกับผู้ชายที่รักฉันที่สุด เราสร้างฐานะด้วยกัน ฉันรักคนสู้ชีวิตคนนั้น เราช่วยกันทำงานหนักขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราคุยกัน ยิ้มและมองตาให้กันน้อยลง ฉันถามเขาว่าเมื่อไหร่ที่เราจะได้มีความสุขกันสักที เขาบอกว่าขอให้เรารวยก่อน แล้วเขาก็ทำงานหนักขึ้นและเราก็มีมากกว่า เราสามารถซื้อทุกอย่างเงินสด ใช่เรามีมากกว่าที่เคยจริงๆ แต่เราไม่เคยมีเวลาให้กัน เมื่อฉันถามถึง “เวลา” บ่อยขึ้น วันหนึ่งมีรถ Maserati มาจอดหน้าบ้าน ทั้งที่เขาไม่เคยรู้มันคือรถในฝันของฉัน เขาว่าผมอยากให้คุณมีความสุข แต่คำว่า..
“ความสุข” ของเราถูกเข้าใจต่างกัน
ฉันในอดีตก็คงมีความสุข แต่สำหรับฉันในวันนั้นแอบเศร้าเพราะฉันรู้ว่ามันหมายถึงฉันจะได้เวลาจากเขาน้อยลงไปกว่าที่เคย แล้วฉันก็ยอมรับสถานการณ์ ฉันเริ่มเคยชินกับการไปกินข้าวคนเดียว ทำอะไรคนเดียว ทั้งที่เราอยู่บ้านเดียวกัน ฉันเฝ้ามองชีวิตตัวเองและผู้คนรอบตัวที่ใช้เวลาส่วนใหญ่รีบรน เพื่อขนเงินเข้ากระเป๋า ต้องแข่งขัน ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุ อำนาจเงินตรา พวกเขาเลือกที่จะมีเวลาให้คนรักหรือแม้แต่ตัวของเขาเองน้อยลง แล้วฉันก็มีความสุขกับการอยู่คนเดียว สนุกกับการใช้ชีวิตคนเดียว และเริ่มรู้ตัวว่าความสุขของฉันคือการที่ได้ใช้ชีวิต ได้เดินทางท่องเที่ยว ได้เป็นอิสระจากวัตถุ ไม่ยึดติดกับตัวตน กับของที่มี ฉันเริ่มลดขนาดห้องรองเท้า เหลือเพียงตู้รองเท้าตู้เล็กๆ และเริ่มซื้อของเพราะจำเป็น ไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้อยากมีให้เหมือนใคร ทานแค่พออิ่ม ใช้เวลาพอดีแค่กับคนที่พอใจ และฉันเริ่มสนุกกับการลดการครอบครอง ในที่สุดฉันตัดสินใจขายรถคันนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะราคาของรถที่ตกลงทุกวันจนใจหาย ฉันไม่อยากให้ “ราคา” ท้องตลาด ตี “ค่า” ของที่ฉันรักอีกต่อไป ต้องการหลุดจากพันธนาการ ทั้งที่มันคือรถที่ฉันรักที่สุด อยากได้ที่สุดและได้จากคนที่ฉันรักที่สุด แต่การยอมปล่อยสิ่งที่ฉันเคยเป็นเจ้าของให้หลุดมือไปมันไม่ง่ายเลย วันก่อนผู้ซื้อขับรถจากไป ฉันไม่กล้ามองตาม ฉันได้ยินเสียงในความคิด.. “มันก็แค่รถคันหนึ่งและฉันไม่เคยเป็น Material Girl”
ถึงฉันจะสูญเสียทุกอย่างที่ฉันเคยเป็นเจ้าของ ฉันก็ยังเป็นสุข ยิ้มอย่างเต็มหัวใจ
เพราะความสุขที่ฉันเลือกตอนนี้ คือ ได้มีเวลาให้กับตัวเอง มีสุขภาพ กายและใจที่ดี ทำสิ่งที่รักอยู่กับธรรมชาติ ให้บ่อย เดินทางท่องเที่ยวและที่สำคัญเป็นอิสระจากทุกพันธนาการที่ตรวนความคิดและชีวิต
ฉันพูดได้เต็มปากว่ามันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ที่จะตัดใจจากของที่มีคุณค่าทางจิตใจและเคยมีราคา
แต่วันนี้ฉันทำได้ ฉันได้ปลดโซ่ตรวนและรู้สึก “อิสระ” มากเท่าที่คนๆ นึงจะรู้สึกได้ในชีวิตนี้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทุกข์กับโซ่ตรวนชีวิต ฉันขอเป็นกำลังใจสำคัญให้คุณและถ้าฉันทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน


หนังสือ “ปล่อยไป แล้วใช้ชีวิตต่อ” .. วางแผงแล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ.. ร้านซีเอ็ด ร้านบีทูเอส ร้านนายอินทร์และร้านคิโนะคุนิยะ สามารถหาซื้อได้แล้วที่สาขาใกล้บ้านคุณ หรือสั่งซื้อกับทางเราได้ง่ายๆ ที่นี่
ปกติหนังสือจงเห็นแก่ตัวและปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ มีขายทุกร้านหนังสือค่ะ แต่เพื่อความสะดวกลองเช็คลิงค์นี้ของร้าน Se-ed นะคะ เพื่อดูว่าสาขาไหนใกล้คุณมี ส่วนนายอินทร์ เช็คตามลิงค์นี้ค่ะ นอกจากนี้ ร้านคิโน๊ะคูนิยะ และบีทูเอส มีหนังสือจำนวนมากรอคุณหยิบกลับบ้านค่ะ
- Authors: กมลชนก ปานใจ
Share this Post