อยากเป็นแบบไหนก็ให้เข้าใกล้คนแบบนั้น
ชายคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ริมทะเลจนไปพบชาวประมงที่ข้างตัวมีตะกร้าที่เต็มไปด้วยปู แต่ไม่ได้ปิดฝาตะกร้าเลยถามชาวประมงว่า “ทำไมไม่เอาอะไรมาปิด เดี๋ยวปูก็ปีนตะกร้าหนีออกไปหมดหรอก”
ชาวประมงตอบเขาอย่างอารมณ์ดี คุณจะไปรู้อะไร ถ้าจับปูได้แค่ตัวเดียว ถึงจะต้องหาฝามาปิด แต่นี่ปูตั้งหลายตัว ไม่ปิดก็ไม่หนีไปไหนหรอก เขาแอบไม่เข้าใจ เลยยืนสังเกตดูก็เห็นเป็นจริงอย่างชาวประมงว่า เมื่อปูตัวหนึ่งกำลังไต่ขอบตะกร้าสุดชีวิต เพื่อออกไปหาอิสรภาพ แค่แล้วพักหนึ่งจะมีเพื่อนปูอีกหลายตัวคอยขัดขาดึงกลับมา พอตัวนี้เลิก ตัวใหม่ดึง เพื่อนปูอีกหลายตัวก็จะทำแบบเดียวกัน
เฉกเช่นคนเราที่ต้องอยู่ในสังคม ถ้าหากเราต้องการจะทำอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจได้ เพื่อนๆ หรือคนใกล้ตัวเราที่รักและเป็นห่วงก็อาจจะทำเหมือนเพื่อนปู ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การเรียนให้ได้เกรดดีๆ การไปสู่อาชีพที่มั่นคง บางทีเพื่อนปูของเราอาจไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นและต้องการให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันมาเผชิญชะตากรรมเดียวกันในที่ๆแสนสบายที่ก้นตะกร้าใบนั้น อยากเป็นแบบไหนก็ให้เข้าใกล้คนแบบนั้น
บางทีพวกเขาอาจไม่ได้อ่านหนังสือ จงเห็นแก่ตัว และ เสกรักให้ปักใจ เป็นต้นเขาจึงก็ไม่รู้ว่าในชีวิตของเราเรามีสิทธ์เลือกเสมอและการมีคู่หรือเป็นโสดก็ขึ้นอยู่กับความคิดและพฤติกรรมของเราต่างหาก หลายคนไม่มั่นใจตัวเองมากพอที่จะทำแบบที่ต่างไปจากคนรอบข้าง
ผู้คนที่พยายามตัดสินเรานั้นอาจดูหนังกันคนละแนว ใช้ชีวิตคนละแบบ บางคนมีมุมมองโลกคนละอย่างกับเรา บางคนเชื่อว่าการนอนดูสารคดีท่องเที่ยว ทำให้ได้รู้จักโลกใบนี้ได้มากกว่า แต่บางคนเชื่อว่าการเดินทางไปที่นั่นคือการเรียนรู้ บางคนท่องเที่ยวตามโปรแกรมที่ถูกกำหนด บ้างชอบสะพายเป้เดินหลงในเมืองใหม่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจชีวิต แล้วเราจะยอมใช้ชีวิตตามคำแนะนำของคนรอบข้าง ทั้งที่บางครั้งพวกเขา ไม่รู้เรื่องที่แนะนำเท่าไหร่นัก
สังเกตไหมคนเชียร์มวยข้างเวที ถ้าให้ขึ้นไปชกจริงๆอาจถูกน๊อคตั้งแต่ห้าวิแรก เคยมีใครบางคนให้คำแนะนำเพื่อนดิฉันที่กำลังจะเดินทางไปเปาล ประเทศที่ดิฉันท่องเที่ยวในนั้นเกือบเดือน เธอว่าอันตราย สกปรก ผู้คนจิตใจแย่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ดิฉันเคยสัมมผัส ดิฉันเลยถามไปว่าอยู่ที่นั่นกี่ปีคะ เพราะเขาอาจรู้มากว่าดิฉันเป็นแน่ หล่อนว่าไม่เคยได้ยินเขาบอกมา เราไม่กล้าไปหรอกน่ากลัวจะตาย
แค่นี้ดิฉันเลยนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่ว่านั่งแล่นเรือใบที่เก่งที่สุดไม่เคยออกจากฝั่งเลย จริงหรือคะไม่คะ ไม่จริง นี่คือประโยคที่มีไว้กัดคนที่ชอบให้คำแนนำผู้อื่นทั้งที่ตัวเองไ่เคยมีควารู้หรือประสบการณ์สักนิด
จิม โรห์น นักเขียนนักคิดผู้มีชื่อเสียงเคยกล่าวไว้ว่า “You are the average of the five people you spend the most time with.” “เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คน ที่อยู่ด้วยทุกวัน”
ส่วนตัวดิฉันก็เขียนในหนังสือจงเห็นแก่ตัวว่าคุณเป็นอย่างที่คุณเห็น รับฟังและคิด ดังนั้นจงเลือกผู้คนที่รายล้อมคุณให้ดี พอๆกับการเลือกสื่อและข้อมูลที่เราเสพ หนังสือที่เราอ่าน เพราะมันจะทำให้คุณเป็นแบบนั้น เช่นคูณอยู่ในกลุ่มที่บ่นและต่อว่าคุณก็จะกลายเป็นแบบพวกเขา อยู่ในกลุ่มที่ชอบทานแต่ไม่ชอบขยับตัว ไม่ช้าคุณก็จะกลายเป็นคนอ้วนเหมือนพวกเขา คุณอยู่กับคนรอบรู้ ช่างคิดคุณจะกลายเป็นคนมีความรู้ มีความคิด
อยากประสบความสำเร็จแบบไหน ก็เอาไปใกล้คนเหล่านั้นที่เป็นต้นแบบ เอาไว้ดึงค่าเฉลี่ยของตัวเราให้เปลี่ยนแปลงไป “แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว” ถ้าคุณชอบแนวคิดแบบนี้ คุณจะชอบ ”จงเห็นแก่ตัว” หนังสือเล่มใหม่ของกมลชนก ปานใจ ตามหาได้ที่ร้านหนังสืออย่างซีเอ็ด บีทูเอส คิโนะ นายอินทร์คะ และถ้าต้องการให้ไปสร้างแรงบันดาลใจให้บริษัทของคุณ www.key-up.life
Share this Post