Interview Preaw Magazine’s ฉบับที่ 903

สัมภาษณ์ นิตยสาร แพรว ฉบับที่ 903
เผยเส้นทางชีวิตที่ฝ่าฟัน ปู-กมลชนก ปานใจ รองสาวแพรวปี 1988
 
ปู-กมลชนก ปานใจ เผยประสบการณ์ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

ล้มแล้วต้องลุกให้ได้!

ปู-กมลชนก ปานใจ ในวันนี้ยังดูงาม ดูอ่อนกว่าวัย สีหน้าบ่งบอกถึงความสุขสดชื่นอารมณ์ดี ไม่น่าเชื่อว่า เธอจะเคยก้าวผ่านเส้นทางชีวิตที่หนักหน่วง…ก่อนที่จะถามถึงเคล็ดลับการดูแลตัวเองของเธอ เราชวนเธอให้เท้าความย้อนไปถึงวันแรกที่เธอเข้าร่วมประกวดสาวแพรว เธอหัวเราะเสียงใสก่อนตอบว่า

“ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้วนะคะนี่…ตอนที่ปูสมัครคือไม่ได้ตั้งใจ แค่มาเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เขาสมัคร แล้วได้เรียกมาสัมภาษณ์ เผอิญพี่คนหนึ่งในทีมแพรวบอกว่าให้สมัครด้วย ผลคือปูได้รับคัดเลือก แต่เพื่อนไม่ได้ เขาก็งอนปูไปพักหนึ่ง ตอนนั้นปูไม่คิดว่าจะได้เข้ารอบสิบคนสุดท้ายหรอก ยิ่งตอนวันประกวดบนเวทีก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตของเด็กอย่างเรา แอบภูมิใจมากว่าเรามีสิทธิ์มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยหรือ เพราะแพรวคือนิตยสารฉบับหนึ่งที่ดังมาก

“ช่วงที่เตรียมตัวขึ้นประกวดก็ตื่นเต้นกับเพื่อนๆ เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ได้เจอพี่ๆ ที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ ซึ่งทุกคนน่ารัก แล้วเพื่อนๆ ที่เข้าประกวดก็มีอายุรุ่นเดียวกัน เหมือนเรามีเพื่อนอีกกลุ่ม แม้ในวันตัดสินก็แอบมีการแข่งขันกันเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี”

เส้นทางชีวิตที่เปิดกว้าง…และฝ่าฟัน

หลังจากก้าวลงจากเวที เธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีในการก้าวสู่วงการ จนกระทั่งอิ่มตัว เธอจึงผันไปสู่เส้นทางธุรกิจ และผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมายที่น่าทึ่ง

“ปูได้ทำงานในวงการแฟชั่น ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบเยอะ จนวันหนึ่งอารุจน์ รณภพ กับครอบครัวก็มาดูหน้า และตกลงให้เล่นหนังเป็นนางเอกอยู่เรื่องหนึ่ง ชื่อ “พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ” คู่กับโอ – วรุฒ วรธรรม แล้วก็เล่นละครตามช่องต่างๆ อยู่หลายเรื่อง เพราะเรามีเพื่อนอยู่ทุกช่อง อาจเป็นเพราะเป็นเด็กหงิมๆ เขาเรียกไปก็ไป ไม่ว่าอะไร ถือว่าเวทีแพรวเปลี่ยนชีวิต เพราะทุกวันนี้ไปเดินตามถนนยังมีคนจำได้ เข้ามาจับมือทักทายว่าปูเคยเป็นสาวแพรวคนหนึ่ง

“ปูทำงานในวงการบันเทิงและแฟชั่นจนรู้สึกอิ่มตัว จึงผันตัวเองออกมาทำธุรกิจหลายอย่างมาก ช่วงแรกทำอินทีเรียร์ดีไซน์แต่งบ้านให้ลูกค้า เขาพอใจก็แนะนำต่อ จนเราได้โปรเจ็คท์ใหญ่ขึ้น จากบ้านกลายเป็นโรงแรมขนาดเล็กไม่กี่ห้องแล้วขยายไปเป็น 300 – 500 ห้อง โดยสามีกับปูเป็นคนหางาน ออกแบบ และรับเหมาเอง จนถึงช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง หลายคนพังหมด ปูก็พัง ทั้งยังถูกโกงจนเกือบไม่มีเงิน แต่ปูกับสามีไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นหาช่องทางใหม่ แล้วเราก็ไปเห็นว่าทุกอย่างล้ม แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตขึ้น เราจึงไปดูว่าจะทำอะไร ก็ไปทำรถเข็นและเชลฟ์วางสินค้าส่งตามซูเปอร์มาร์เก็ต  ทำมาหลายปีรู้สึกว่าเหนื่อยและเริ่มตัน เลยคิดว่าน่าจะหาทางทำอย่างอื่น

“ปูก็เปลี่ยนมาทำเอเจนซี่ขายห้องพักโรงแรมในเว็บไซต์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครทำ และเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มไม่นาน ปูทุ่มเทมาก ได้เงินมาก แต่สุขภาพกลับแย่ลง ทุกอย่างเริ่มแย่ไปหมด ก็ถามตัวเองว่าจะทำงานแบบนี้ไปจนป่วยหรือ เห็นหลายคนที่ทำงานเครียดมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล ปูไม่อยากเป็นแบบนั้น จึงตัดสินใจหยุด เพราะคิดว่ามีเงินและทุกอย่างพอแล้ว

“ถึงจุดนั้นปูเริ่มดูแลตัวเอง แล้วผันตัวมาเป็นนักเขียน นำสิ่งที่ปูเคยเจอปัญหาแล้วทำให้เครียดจนเราแย่ แต่เราดีขึ้นได้ยังไง ก็นำมาเขียนในเฟซบุ๊ก ช่วงแรกก็มีคนตามสัก 300 – 400 คน ตอนนี้มีเกือบ 300,000 คน ทุกวันนี้ปูก็ยังเขียนอยู่ เขียนจนเหมือนเป็นศิลปินเลยค่ะ อยู่บ้านเขียนหนังสือ ทำหนังสือออกมาขายด้วย แล้วจัดเวลาเดินทางท่องเที่ยว อยากไปไหนก็ไป ตอนนี้สามีก็ไม่ได้ทำงานอะไร เรามีรายได้จากที่เราทำไว้ แล้วนำไปลงทุนให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหารให้งอกเงย เหมือนเออร์ลี่รีไทร์กันทั้งคู่

“ช่วงที่ปูทำงาน ปูทำแบบฮาร์ดคอร์มาก จนเห็นหน้าตัวเองเป็นรูปกะโหลก ไม่กิน ไม่นอน คิดงานอย่างเดียว ตัดไม่ได้ เป็นคนซีเรียสกับงาน จนปูไม่พร้อมมีลูก แต่พอพร้อม ปูรู้สึกกับการเที่ยวว่าไปไหนก็ได้ ก็ถามตัวเองว่าแน่ใจว่าอยากมีชีวิตอย่างนี้จริงหรือ ก็สรุปได้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีลูก ชีวิตมีอิสระดีแล้ว แต่ก็ถามสามีว่าไม่มีดีไหม เขาบอกว่ายังไงก็ได้

“สิ่งที่ปูทำทุกวันนี้ได้เงินมาก็เหมือนเป็นเงินค่าขนม ได้จากค่าเขียนหนังสือ ค่าวิทยากรไปพูดให้บริษัทต่างๆ ก็นำประสบการณ์จากที่เราเคยล้ม แล้วกลับมาได้ยังไง ไปพูดสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่หมดพลัง แล้วรู้สึกไม่ใช่อย่างนี้ เราต้องลุกขึ้นมาได้ เพราะตัวปูเอง ทุกครั้งที่รู้สึกแย่จะบอกตัวเองว่าจะดีขึ้น แต่เราต้องทำทุกอย่างในทุกวันให้ดี แล้วมันก็จะดีขึ้น ตอนที่โดนโกง ปูก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เราเก่ง เดี๋ยวเราก็หาใหม่ได้อีก ปูก็ไม่ได้ไปฟ้องเขานะ เพราะคิดว่า กรรมใครกรรมมัน แล้วกรรมก็จะจัดสรรของมันเอง เราก็คอยดูว่าเขามีอันเป็นไปแบบไหน ไม่ได้แช่งเขานะคะ แต่ปูก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”

เคล็ดลับความอ่อนเยาว์

ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย แต่เธอก็ยังแลดู Forever Young เสมอ จนอดไม่ได้ที่จะต้องถาม

“ปูพยายามดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอด้วยการตื่นเช้า กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ กลางวันไม่กินเยอะ กินเท่าที่ร่างกายต้องการ ไม่กินโอเวอร์ ตอนเย็นกินนิดหน่อย และนอนให้ดี คือ เข้านอนสัก 3 – 4 ทุ่ม เมื่อก่อนทำไม่ได้หรอกค่ะ นอนตี 5 คือเร็วสุดละนะ ถ้านอนตี 3 ได้นี่จะเซอร์ไพร้ส์มาก แต่ปูค่อยๆ ฝึก จนตอนนี้ทำได้แล้ว พอ 4 ทุ่มตาจะปิดละ

“ในชีวิตปูมีคีย์หลักคือ ฝึกเรื่องเล็กๆ อะไรก็ได้ อยากกินดีๆ ก็ฝึกไป หาอาหารดีๆ มากิน เลิกโกรธทุกคน เลิกคิดอยากให้ทุกคนเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ปูจะมีคำพูดคำหนึ่งคือ ‘ปล่อยตัวเองให้ได้ แต่อย่าปล่อยตัวเอง’ คือ อย่าปล่อยตัวเองให้แก่ไป อย่าปล่อยตัวเองไม่ทำอะไรเลย อย่าปล่อยตัวเองให้ไม่มีวินัย อะไรทำนองนี้ แต่ใครทำอะไรไม่ดีก็ช่างเขา เราปล่อยเขา เราแค่ทำดีคิดดีของเรา ใครเกลียดเราก็ช่างเขา คิดเสียว่าเขาก็แค่มีศีลไม่เสมอกับเรา ซึ่งเขาอาจดีกว่าเราก็ได้ แต่แค่มีศีลไม่เท่ากันเท่านั้นเอง เหมือนเขาอาจชอบสีชมพู เราชอบสีฟ้า ก็แค่นั้น ไม่คิดมากเลย

“อาหารการกินก็กินทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ ไม่ผ่านขั้นตอนกรรมวิธีอะไรมาก เน้นการดูแลตัวเองจากภายใน การกินอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพเป็นประจำเป็นตัวช่วยให้ยังดูดี ดูอ่อนกว่าวัยสำหรับปูด้วยค่ะ เพราะชีวิตยังมีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ ต้องรู้จักรักและดูแลตัวเองอยู่เสมอ พยายามกินที่เป็นธรรมชาติที่สุด และกินน้ำตาลให้น้อยเท่านั้นเองค่ะ”

หนังสือ “ปล่อยไป แล้วใช้ชีวิตต่อ” .. วางแผงแล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ.. ร้านซีเอ็ด ร้านบีทูเอส ร้านนายอินทร์และร้านคิโนะคุนิยะ สามารถหาซื้อได้แล้วที่สาขาใกล้บ้านคุณ หรือสั่งซื้อกับทางเราได้ง่ายๆ ที่นี่

ปกติหนังสือจงเห็นแก่ตัวและปล่อยไปแล้วใช้ชีวิตต่อ มีขายทุกร้านหนังสือค่ะ

แต่เพื่อความสะดวกลองเช็คลิงค์นี้ของร้าน Se-ed นะคะ เพื่อดูว่าสาขาไหนใกล้คุณมี

ส่วนนายอินทร์ เช็คตามลิงค์นี้ค่ะ นอกจากนี้ ร้านคิโน๊ะคูนิยะ และบีทูเอส มีหนังสือจำนวนมากรอคุณหยิบกลับบ้านค่ะ

Share this Post