5 วิธี หยุดเป็นคนที่เอาแต่ใจคนอื่นจนเกินไป

5 วิธี หยุดเป็นคนที่เอาแต่ใจคนอื่นจนเกินไป

หนึ่งในความรู้สึกที่จะทำให้เราเป็นอิสระที่สุดที่เราจะเรียนรู้ได้ในชีวิตก็คือ เราไม่จำเป็นต้องชอบทุกคน และทุกคนไม่จำเป็นต้องชอบเราเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

การเอาความต้องการของคนอื่นมาก่อนตัวเองใน ดิฉันขอให้คำจำกัดความว่า พวก “คนขี้เอาใจคนอื่น” ดิฉันไม่ได้หมายถึงการกระทำเพื่อช่วยคนอื่น หรืออยู่ตรงนั้นเพื่อเขา ตามที่คุณต้องการ ถ้าคุณอยากช่วยใคร หรือคุณอะลุ่มอะล่วยกับใครที่คุณใส่ใจ โดยดีกับทั้งสองฝ่าย…อันนี้โอเค

แต่สำหรับพฤติกรรมการขี้เอาใจคนอื่นมันไปไกลกว่านั้น มันกลายเป็นนิสัยที่ทำร้ายกันเพราะ ..

คุณพูดว่า “ตกลง หรือ ได้ ใช่” กับบางสิ่งที่คุณไม่ได้อยากทำจริงๆ เพื่อที่จะทำให้ใครบางคนมีความสุข และจะได้มีชีวิตที่ง่าย คุณรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ แต่ยังคงทำแบบนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการถูกขอให้ทำบางอย่างที่ไม่จริงใจ หรือ ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ

คุณรู้สึกหมดแรงและว่างเปล่าจากการเอาความต้องการของคนอื่นเข้ามาก่อนของตัวเองและไม่ให้เวลาตัวเองได้ใส่ใจตัวเอง เมื่อไหร่ที่คุณบอกว่า “ไม่” (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) คุณก็จะรู้สึกผิดอีกนานเลยหลังจากนั้น

และนี่คือ 5 วิธีและแนวคิดที่มันใช้ได้ผลสำหรับดิฉัน

1. อยู่กับความจริง ความจริงที่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบคุณและมันก็ไม่มีปัญหาอะไร
ประโยคเปิดบทความนี้บอกแล้วทุกสิ่งอย่าง เรื่องนี้ทำให้ความคิดของดิฉันเปลี่ยนไปในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เมื่อฉันตัดสินใจว่า พอคือพอ ต่อไปนี้ดิฉันจะเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเองก่อน

เมื่อไหร่ที่ดิฉันรู้สึกว่า สัญชาตญาณแห่งการเอาใจคนอื่นโผล่ขึ้นมาล่ะก็ ดิฉันจะใช้เวลาระลึกว่า “มันไม่เป็นไรเลยถ้าจะมีคนไม่ชอบฉัน เพราะฉันไม่ได้ชอบทุกคน และทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องชอบฉัน” ตามลักษณะของพวกขี้เอาใจคนอื่น สิ่งขับเคลื่อนให้เรามีพลังทำทุกสิ่งก็คือ เพื่อให้บางคนชอบเรา มันเป็นเช่นนั้นเพราะการเห็นคุณค่าในตัวเองระดับต่ำอย่างรุนแรง

โดยพื้นฐานแล้ว เมื่อคนชอบคุณ คุณก็จะชอบตัวเอง เมื่อไหร่ที่เขาไม่ชอบคุณ ความเห็นเกี่ยวกับตัวเองของคุณก็จะตกตามไปด้วย วิธีดีที่สุดที่จะช่วยลดความต้องการยอมรับจากคนอื่น เพื่อจะได้รักตัวเองนั้น คือ การเพิ่มความการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self –esteem)

จุดเริ่มต้นคือ ทำลิสท์สิ่งที่คุณรักเกี่ยวกับตัวเอง อย่างน้อย 10 รายการก่อนในเบื้องต้น แล้วเอามาดูบ่อยๆ และเพิ่มรายการขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แล้วเริ่มดูแลตัวเองอย่างที่คุณดูแลคนที่คุณรัก หรือเพื่อนที่คุณรักมากๆ แล้วเริ่มเชื่อมโยงกับต้นแบบ..คนที่รักและยอมรับตัวเองแบบที่เขาเองเป็น สร้างโมเดลพฤติกรรมของพวกเขาจนกว่าจะกลายเป็นสไตล์ของคุณ

2. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธในวิธีที่คุณรู้สึกดี (และไม่ต้องขอโทษ)
“ไม่” เป็นคำที่พวกเราควรทนใช้ให้บ่อยขึ้น มีกี่ครั้งที่คุณพูดว่า “ไม่” ตามการตัดสินใจของคุณแต่เพราะถูกกดดันจากคนอื่น ดิฉันเคยทำแบบนั้นตลอดเลย หรือไม่ดิฉันก็จะพูด “ไม่” แล้วก็ขอโทษหลายรอบมากเพื่อตัดสินการตัดสินใจของฉัน สิ่งที่สร้างข้ออ้างมากกว่าจะให้คำปฏิเสธที่มั่นคงและจริงใจ … ก็คือการเปิดให้เกิดการเจรจาต่อรองกับอีกคน ถ้ามันเกิดขึ้น อาการขี้เอาใจที่คุณมีอยู่ข้างในก็จะยอมและคุณก็จะต้องทำสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำ แล้วเอาตัวเองไว้ทีหลังอีก

ดังนั้น คุณจะเลิกพฤติกรรมนี้ยังไง ปฏิเสธในวิธีที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง แต่ชัดเจนและมั่นคง คุณไม่จำเป็นต้องตอบแค่คำเดียว แต่ควรจะจริงใจ เช่น “ฉันอยากจะช่วยนะ แต่เสียดายที่ฉันจองเป็นวันของตัวเองไปแล้วอ่ะ” หรือ “ฟังดูเป็นโอกาสที่สุดยอดมาก แต่ฉันคิดว่าใครบางคนอาจจะช่วยได้ดีกว่านะ” จงยืนหยัดกับคำพูดแรกเริ่มของคุณ แล้วถ้าใครพยายามจะต่อรอง เพียงแค่ยืนยัน พูดซ้ำคำตอบเดิมอย่างมั่นคงก็พอ

3. จงยอมรับว่าคุณจะรู้สึกผิดหากคุณปฏิเสธกับบางสิ่งในช่วงสองสามครั้งแรก
นักตามใจคนมักรู้สึกผิดเวลาที่ต้องปฏิเสธคำขอร้อง คุณอาจรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า หรือคุณทำให้ใครผิดหวังรึเปล่า ..นี่คือความรู้สึกผิด ที่ผิดที่ผิดทาง คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ แล้วคนนั้นก็จะสามารถหาใครคนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของเขาได้ในที่สุดเอง

เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกผิด จงโอบรับความรู้สึกนั้น แต่คิดว่า คุณจะรู้สึกแย่กว่าอีกกี่เท่าถ้าหากคุณตอบ “ตกลง” ทั้งที่คุณไม่อยากจะทำ แนวโน้มก็คือ มันมักทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก โปรดจำไว้ว่า ความรู้สึกผิดนั้นจะสลายตัวไปอย่างไว แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่มากล่ะก็ หยิบสมุดขึ้นมาแล้วเขียน ข้อดี ข้อเสีย จากการตัดสินใจ

4. เริ่มสร้างเส้นเขตแดน
มันไม่ผิดที่จะคิดถึงตัวเองก่อน เพราะคุณจะมีความสุขขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น และน่าทึ่งมากขึ้นถ้าคุณเป็นแบบนั้น วิธีดีที่สุดที่จะทำได้คืออะไร? สร้างเส้นเขตแดน เมื่อไหร่ที่เราไม่มีจุดยืนเพื่ออะไรสักอย่าง เราจะล้มลงอย่างง่ายๆ อย่างที่ใครๆ เขาว่ากันนั่นแหละค่ะ

ลองหาสถานที่เงียบสงบ ที่คุณจะไม่ถูกรบกวน แล้วใส่รายการที่คุณได้ทำในช่วง 3-6 เดือนที่คุณไม่อยากจะทำ เมื่อคุณได้ลิสท์นี้มาแล้ว อ่านมันแล้วเขียนถึงเหตุผลที่คุณไม่อยากทำแต่ละอย่าง คุณอาจสังเกตว่า มันมีเหตุผลบางอย่างที่คล้ายๆ กัน เช่น มันกินเวลาสำหรับครอบครัวของฉันไป, มันทำให้ฉันเหนื่อยเกินไป, มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำอย่างสบายใจเพราะ… ใช้เหตุผลเหล่านี้ สร้างขอบเขตอาณาบริเวณสำหรับตัวเอง เช่น

– การนอนให้พอ สำคัญสำหรับฉัน ถ้าอะไรทำให้ฉันนอนแปดชั่วโมงต่อคืนไม่ได้ ฉันจะปฏิเสธ
– ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คลื่นพลังงานลบ ถ้าหากมีอะไรส่งให้เราเข้าใกล้คลื่นพลังงานลบ ฉันจะไม่ทำ
– ถ้ามีอะไรมาสกัดขัดขวางฉันจากคุณค่าแห่งความซื่อสัตย์และศีลธรรมของฉัน ฉันจะปฏิเสธ

เริ่มโดยจัดตัวเอง 4-5 เส้นเขตแดนก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วฝึกสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นตลอดช่วง 2-3 เดือน คุณจะสามารถเพิ่มรายการขึ้น แล้วค่อยๆ สร้างขอบเขตที่ทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่คุณยอมรับได้ และอะไรที่คุณยอมรับไม่ได้ในชีวิต

5. ลาขาดจากมนุษย์ที่หลอกใช้ความใจอ่อนของคุณ
มันมีคนที่พยายามเอาเปรียบคุณจากพื้นฐานการเป็นคนที่ดีของคุณ เมื่อไหร่ที่เราเพิ่มระดับการเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มให้เกียรติตัวเอง ให้เอกสิทธิ์กับตัวเอง คุณจะเริ่มเห็นคนที่พยายามลักลอบใช้ความที่คุณชอบตามใจคนอื่น มาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง

พวกเขาจะเป็นคนที่พยายามล้ำเส้นคุณ ไม่ว่าคุณจะปฏิเสธกี่ครั้งก็ตาม เขาก็จะล้ำเส้นอยู่เสมอ สิ่งดีที่สุดที่ควรทำคือ ปล่อยให้คนเหล่านี้ล้มหายตายจากไปจากชีวิตของคุณ แล้วยอมรับบทเรียนที่พวกเขาสอนเกี่ยวกับคุณว่า คุณคือใคร อะไรที่คุณต้องการในชีวิต

หากไม่สามารถปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นหายไปจากชีวิตได้ ถ้าเขาเป็นครอบครัว ก็จงสร้างระยะห่างที่พอควรแล้วหาวิธีที่คุณจะได้พูดกับพวกเขา เพื่อยืนยันถึงอาณาเขตของคุณว่าอยู่ตรงไหน

โปรดระลึกไว้ว่า นี่คือกระบวนการเบื้องต้น ถ้าคุณกลับไปสู่พฤติกรรมเก่า ก็อย่าตบตีก่นด่าตัวเองให้มากไปนัก แต่ให้พยายามสร้างความก้าวหน้าอยู่เสมอ แล้วชีวิตตลอดจนระดับการเห็นคุณค่าในตัวเองของคุณจะดีขึ้น!

และหากคุณต้องการฝึกการเห็นคุณค่าในตัวเองแล้วล่ะก็ ไม่ต้องไปไหนไกลค่ะ ดิฉันแนะนำ หนังสือขายดี “จงเห็นแก่ตัว” เล่มนี้จะทำให้คุณเห็นแก่ตัวเอง และไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรตามมาเลยค่ะ

credit : tinybuddha.com
แปลและเรียบเรียงโดย แอดมิน

Share this Post

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.